ภาพรวมอินฟลูเอนเซอร์ที่ได้รับเลือกเป็น Sumida Ambassdor 2023
ครั้งนี้ดิบได้รับเกียรติจากเมืองสุมิดะ ให้เพจคุณนายปลาดิบได้เป็นตัวแทนจากประเทศไทย ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายประเทศ เป็นผู้นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองสุมิดะ ประจำปี 2023 ที่ไม่ได้มีดีแค่แม่น้ำสุมิดะ และโตเกียวสกายทรีเท่านั้น วันนี้ดิบจะพาทุกคนไปจัดทัวร์ 1 วัน กับเมืองสุมิดะ
การจำลองสถานการณ์แผ่นดินไหว กับไฟไหม้ และการป้องกันตัวเองหากเกิดเหตุร้ายขึ้นมาจริงๆ
ในประเทศไทยอาจจะมีเหตุการณ์แผ่นดินไหวบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีบ่อยเท่าประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ตั้งอยู่รอบวงแหวนไฟ Ring of Fire ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงต้องรับมือกับแผ่นดินไหวหลายต่อหลายครั้ง ดิบได้เดินทางไปที่ Honjo Bosaikan หรือ Honjo life safety learning center Tokyo ซึ่งที่นี่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดินไหว, ไฟไหม้, พายุเข้า, น้ำท่วม และอื่นๆ อีกมากมาย ครั้งนี้ดิบได้ไปทดลองการจำลองสถานการณ์แผ่นดินไหว ระดับเดียวกับที่คุมาโมโตะ
จดหมายจากคุณโนบุ
ซึ่งก่อนหน้าที่เราจะได้ไปทดลองนั้น ทางจนท. ก็พาเราเข้าไปชมภาพยนต์สั้น “จดหมายจากคุณ โนบุ” คุณโนบุ เป็นผู้หญิงธรรมดาคนนึงที่มีสามีและลูก 2 คน ที่เป็นผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหว “แผ่นดินไหวใหญ่แถบคันโต” หรือ “คันโตไดชินไซ” เมื่อวันที่ วันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ระดับความรุนแรง 7.9 แมกนิจูด ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 140,000 ราย และมีผู้ที่สูญหายอีกจำนวนมาก จากเหตุการณ์และคำบอกเล่าของคุณโนบุ ก็ทำให้ดิบได้ตระหนักถึงการเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวในสถานการณ์นั้นๆ ได้ และสำหรับคนไทยเองที่แม้ว่าอาจจะไม่ได้มีภัยธรรมชาติมากเท่ากับประเทศญี่ปุ่น แต่การได้เรียนรู้ไว้ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะภัยธรรมชาติก็มักจะเกิดขึ้นมาตอนที่เราไม่ทันได้ตั้งตัวเสมอ
เจ้าหน้าที่อธิบายก่อนเข้าชม “จดหมายจากคุณโนบุ”
ประสบการณ์จำลองแผ่นดินไหวคุมะโมโตะ ระดับ 7.3 แมกนิจูด
เมื่อเราชมหนังสั้นจบแล้วก็เดินไปยัง ห้องจำลองแผ่นดินไหว ก่อนหน้านี้ดิบเคยได้มีประสบการณ์มาบ้าง แต่จะเป็นการทดลองกับรถคันใหญ่ๆ ที่ภาครัฐเอามาใช้จำลองเหตุการณ์ให้กับคนในพื้นที่หมู่บ้าน แต่ที่นี่ห้องจะใหญ่กว่า สามารถจำลองได้หลายคน และระดับของการจำลองก็มีหลากหลาย ครั้งนี้ดิบได้จำลองแผ่นดินไหวแบบเดียวกับที่คุมะโมโตะ เป็นแผ่นดินไหวขนาด 7.3 แมกนิจูด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 เมษายน ค.ศ. 2016 เวลา 01:25 น. ซึ่งทางผู้บรรยายก็บอกว่า แผ่นดินไหวครั้งนั้นเกิดตอนตี 1 ดังนั้นทุกคนก็กำลังนอนอยู่ พวกเราก็เลยได้นอนบนเบาะที่เค้าเตรียมไว้ให้ค่ะ ทางผู้บรรยายแนะนำเราว่าถ้าเกิดแผ่นดินไหวตอนเรานอนให้เรานอนคว่ำหน้าคุดคู้ทำตัวให้เหมือนตัวกะปิ (Woodlice) หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “ดังโกะมุชิ” เพราะเวลาที่แผ่นดินไหวแรงๆ นั้น เราจะไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้เลยค่ะ ดังนั้นการปกป้องที่หัวของเราจึงเป็นสิ่งสำคัญ และถ้ามีโต๊ะ เราก็ควรเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ เพื่อป้องกันสิ่งของที่จะร่วงหล่นจากที่สูงมาใส่เราและทำให้เกิดอันตรายได้ค่ะ จากการที่ได้ไปทดลองมาก็พบว่า เมื่อเราคุ้ดคู้ทำท่านั้นแล้ว เราสามารถทรงตัวได้ดีกว่าการพยายามยืนหรือเดินค่ะ ปกติแผ่นดินไหวในแต่ละครั้งจะไม่นานมาก เมื่อแผ่นดินไหวเบาลงแล้วเราก็ค่อยหาทางออกจากตัวบ้าน แล้วไปที่สำหรับอพยพค่ะ
เมื่อเจอไฟไหม้ มีควันมากต้องทำยังไง
และนอกจากการจำลองการเกิดแผ่นดินไหวแล้ว ดิบก็ได้ไปทำการทดลองสถานการณ์ไฟไหม้ด้วยค่ะ ว่าเวลาที่เราเจอไฟไหม้เราควรก้มตัวให้ต่ำกว่าควัน และพยายามไม่สูดควันเข้าปอด เพราะอาจจะทำให้เราสลบและเกิดอันตรายได้ กรณีที่ไฟไหม้แล้วไฟฟ้าดับ มองไม่เห็น ก็ให้เราพยายามคลำกำแพงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอทางออก โดยการมองหาสัญลักษณ์สำหรับการหนีไฟไปเรื่อยๆ ค่ะ ซึ่งกฏหมายของการสร้างตึกสมัยนี้ ทุกตึกก็ต้องมีป้ายบอกทางหนีไฟอยู่แล้ว เราก็เพียงแต่ไปตามป้ายค่ะ เราได้เข้าไปในห้องที่มีควันอยู่ (ควันปลอม ไม่เป็นอันตรายค่ะ) ซึ่งลอยอยู่สูงคล้ายกับควันไฟ เราจึงต้องก้มตัวลงต่ำเพื่อไม่สูดควัน จากนั้นเข้าไปอีกห้องที่ไฟมืดสนิท เราก็ต้องจับกำแพงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอประตูทางออกค่ะ
ใครใช้เครื่องดับเพลิงเป็นบ้าง?
เมื่อเกิดไฟไหม้ หากเราไม่เคยได้เรียนรู้วิธีการใช้เครื่องมาก่อน ก็อาจจะไม่มีความมั่นใจที่จะใช้เครื่องเวลาที่เราเจอไฟไหม้จริงๆ ดังนั้นการที่เราไปทำการทดลองใช้เครื่องดับเพลิงจริงๆ ก็ดีมากๆ นะคะ ดิบเองก็เพิ่งเคยจับถังจริงๆ เปิดจริง ฉีดจริงก็ครั้งนี้แหละค่ะ ซึ่งหลักที่เจ้าหน้าที่สอนเราก็คือ
- ตะโกนว่า “ไฟไหม้” ซ้ำๆ ย้ำๆ (ภาษาญี่ปุ่นให้ตะโกนว่า “คาจิเดส คาจิเดส”
- ให้โทรไปแจ้งดับเพลิงที่ 119 เป็นเบอร์ฉุกเฉินสำหรับเรียกรถดับเพลิงค่ะ
- หาถังดับเพลิง ดึงสลักออก ดึงสายฉีดออก แล้วบีบที่ด้ามเพื่อฉีดน้ำออกมา
ตอนที่เราไปทดลอง เค้าก็จะให้เราตะโกน “คาจิเดส” ดังๆ จากนั้นก็จะมีจอมอนิเตอร์เป็นไฟขึ้นมา เราก็ยกถังดับเพลิงมาถอดสลัก ดึงสาย แล้วก็ฉีดน้ำไปที่มอนิเตอร์จนไฟดับค่ะ ถังจริงๆ ก็หนักเหมือนกันนะ ประมาณ 5 กิโลได้ค่ะ
จริงๆ แล้วที่นี่ยังมีสถานการณ์ต่างๆ ให้จำลองอีกนะคะ แต่เนื่องจากยังมีสถานที่ดิบอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ไปต่ออีก ก็เลยทดลองไปแค่ 2 อย่างก่อนเนอะ
ข้อมูลเพิ่มเติมที่
Website https://tokyo-bskan.jp/bskan/honjo/
Map https://goo.gl/maps/p6Hzq6D2ggveM9ey5
โอโคโนมิยากิ มอนจะ ยากิโซบะ
นี่เราจะกินทุกอย่างเลยเหรอเนี่ย? ใช่ค่ะ เราจะกินทุกอย่างเลย เพราะที่ร้าน Oshiage Yoshikatsu ได้นำอาหารเหล่านั้นมาให้เราได้ทานกันทุกอย่างเลยค่ะ จุดเด่นของร้านนี้ก็คือ วัตถุดิบ ค่ะ เพราะวัตถุดิบของที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นผักของชุมชนที่มีกันมาตั้งแต่สมัยเอโดะ เดี๋ยวนะ ผักสมัยเอโดะ แล้วมันจะยังอยู่มาถึงตอนนี้ได้อย่างไร? คือแบบนี้ค่ะ พืชผักในเขตสุมิดะ หรือที่อืนๆ ของญี่ปุ่นเอง ในสมัยก่อนก็จะมีผักที่เป็นที่รู้กันเช่น แตงกวาต้องของ “มาโกเมะฮังชิโระ คิวริ” (คิวริ แปลว่าแตงกวา) ซึ่งลักษณะของแตงกวานี้จะแตกต่างจากแตงกวาที่มีขายกันในซุปเปอร์มาร์เก็ตในปัจจุบันเพราะว่าได้มีการแปลงสายพันธุ์เพื่อรสชาติและสีสันที่น่าทาน จะสังเกตุได้ว่าสีของแตงกวาสายพันธุ์ มาโกเมะฮังชิโระ นี้จะมีสีที่อ่อนกว่าแตงกวาญี่ปุ่นโดยทั่วไป
และไม่ใช่แค่ผักนะคะ ไม่ว่าจะเป็นไข่ หรือเนื้อไก่ ก็ยังเป็นสายพันธุ์ของโตเกียวอีกด้วยค่ะ
และนี่ก็คือยากิโซบะที่ใช้ซอสจากหมึกของปลาหมึกผัดด้วยค่ะ อันนี้อร่อยมาก ตอนดูจากสีอาจจะดำๆ แปลกๆ แต่ดิบกล้าพูดว่าอร่อยค่ะ เฟิม
จากนั้นเราก็มาลงมือจัดการกับโอโคโนมิยากิกันก่อน ซึ่งทำไม่ยากค่ะ ทางร้านจะนำเครื่องปรุงต่างๆ เอาใส่ถ้วยมาให้เราแล้ว เพียงแค่เราผสมแล้วก็เทลงไปบนกะทะร้อน แล้วก็รอพลิกด้าน ราดด้วยซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน โรยผงปลาคัทซึโอะสักนิดเพียงเท่านี้ก็อิ่มอร่อยได้ง่ายๆ แล้วค่ะ
จากนั้นก็จะเป็นเมนู “มอนจา” เมนูนี้แม้จะดูว่าคล้ายๆ กับโอโคโนมิยากิ แต่จริงๆ แล้วไม่เหมือนกันนะคะ “มอนจา” เวลาทำเราจะเอาถ้วยผักที่ทางร้านผสมมาให้ กวาดเอามาแต่ผักก่อนค่ะ ส่วนน้ำใสๆ ให้รอใส่ทีหลังนะ พอเราเอาผักลงไปแล้วให้เราเกลี่ยผักให้เป็นวงแหวนค่ะ เว้นที่ตรงกลางไว้ จากนั้นค่อยเอาน้ำซอสที่เหลือราดลงไปแล้วจึงเอาผักค่อยๆ ไปผสมลงไปบนกะทะร้อนๆ นั้น วิธีการกินจะมีตะหลิวน้อยๆ อันจิ๋วๆ ให้เราไว้ตักกินค่ะ ซึ่งมอนจาที่อร่อยควรรอให้มันกรอบๆ นิดๆ ถึงจะอร่อยค่ะ ใครที่สนใจอยากจะลองไปชิมก็แวะไปได้นะคะตามแผนที่ด้านล่างเลยค่ะ
น้ำจิ้มอันนี้คล้ายๆ น้ำจิ้มซีฟู้ดของไทยเลยค่ะ
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมของร้านได้ที่
Website https://japanese-izakaya-restaurant-29463.business.site/?utm_source=gmb&utm_medium=referral
Map https://goo.gl/maps/iTYfX8ajNnHaiDfFA
“ผ้ามัดย้อม”
ผ้ามัดย้อม ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Aizome อาอิโซเมะ วันนี้ดิบจะพาทุกคนไปดูดิบทำ “ผ้าเช็ดหน้ามัดย้อม” กันที่ Aizome Museum ค่ะ ผ้ามัดย้อมที่นี่มีมานานกว่า 130 ปีแล้ว ซึ่งสีของผ้ามัดย้อมนี้จะเรียกอีกอย่างว่า “Japan blue” เมื่อเราไปถึงทางเจ้าของได้อธิบายให้เราฟังถึงวิธีการทำคร่าวๆ ว่า การที่เราจะสร้างลวดลายขึ้นมาบนผ้าได้นั้น ก็เกิดจากการเอาหนังยางมามัดที่ผ้าในรูปแบบต่างๆ ที่เราสามารถที่จะออกแบบเองได้เลย หากต้องการให้ลายออกมาเป็นเส้นตรง ก็ใช้วิธีการพับผ้าเป็นแนวขวางก่อนที่จะทำการมัด ส่วนดิบเองก็ใช้วิธีมัดตามใจตัวเองเลยค่ะ ทำออกมาแล้วดูเหมือนตุ๊กตาเลยเนอะ
เมื่อเรามัดผ้าได้ตามแบบที่เราต้องการแล้ว ก็นำไปชุบน้ำแล้วบิดออกให้หมาด จากนั้นเอาไปชุบที่น้ำสีฟ้าๆ ค่ะ จับเวลาประมาณ 3 นาที จากนั้นเอาขึ้นมาเพื่อทำการคลี่ตัวผ้าเพื่อให้ผ้าส่วนที่มัดอยู่แน่นนั้นได้โดนอากาศ เพื่อให้สีทำปฏิกริยากับอากาศแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าค่ะ จากนั้นเราก็จะเอาไปชุบอีกครั้งนึงแล้วก็รอ 3 นาทีเหมือนเดิม จากนั้นก็นำมาแกะยางที่มัดไว้ออก แล้วก็เอาไปล้างน้ำเปล่า 3 ครั้ง นำไปบิดแล้วตากให้แห้งค่ะ
เนื่องจากผ้ามัดย้อมสีจะตกใส่เสื้อผ้าอื่นได้ ช่วง 2-3 เดือนแรกก็ยังไม่ควรใช้ค่ะ ให้เก็บเอาไว้ก่อน แล้วช่วงแรกๆ ของการซักผ้าก็ควรซักแยกจากผ้าอื่นๆ ค่ะ ดูจากลวดลายแล้วก็สวยไม่เบานะคะ จากรูปแรกที่ดูเหมือนตุ๊กตาอะไรสักอย่าง แต่พอผ่านการทำสีออกมาแล้วก็เป็นผ้าในลวดลายแบบของตัวเราเองเลยค่ะ
หากสนใจที่จะเข้าร่วมทำกิจกรรมนี้สามารถโทรเข้าไปจองได้ค่ะ
คอรส์ทำผ้ามัดย้อม (ผ้าเช็ดหน้า) ราคา 1500 เยน จองผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้นที่
Aizome Museum: เบอร์โทร 03-3611-6760 (เฉพาะภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)
Map https://goo.gl/maps/1p14SJvjywCDffqX6
ตลาดโบราณ Kirakira Tachibana shopping street คิระคิระ ทาจิบะนะ
หากคุณชอบความญี่ปุ่นแบบสมัยก่อน เหมือนย้อนเวลาไปสัก 30 ปี มีมุมเก๋ๆ ให้ถ่ายรูปมากมาย ตลาดแห่งนี้เป็นอีกแห่งนึงที่ดิบอยากแนะนำให้ลองไปเดินเล่นดูค่ะ ที่นี่ร้านรวงต่างๆ ที่ยังคงความโบราณเอาไว้ มีของกินขายในแบบที่ซุปเปอร์มาร์เกตใหญ่ๆ น่าจะไม่มี การได้ลองอุดหนุนร้านของชาวญี่ปุ่นดูบ้างก็เป็นอีกหนึ่งสีสันของการมาเที่ยวย่านนี้ค่ะ
ร้านไก่ย่างเสียบไม้ เป็นอีกหนึ่งอาหาร หรือกับแกล้มยอดนิยมของคนญี่ปุ่น ดังนั้นเราจะเห็นร้านไก่ย่าง ตับย่าง ฯลฯ ได้บ่อยๆ ตามตลาดญี่ปุ่นแบบนี้ค่ะ ซึ่งดิบเองก็ไม่พลาดที่จะลองกินสักไม้ ราคาก็ 110 เยนเท่านั้นเองค่ะ ถูกมาก
ข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ
Website https://kirakira-tachibana.jp/
Map https://goo.gl/maps/vQDyteUoEysNrDATA
ระหว่างทางดิบได้เจอร้านคาเฟ่แห่งนึง ที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นร้านขายเคนดามะ แต่พอเข้าไปด้านในก็เป็นร้านขายกาแฟ ที่มีการตกแต่งเต็มไปด้วยเคนดามะในลวดลายต่างๆ เจ้าของร้านยังดูเป็นคนรุ่นใหม่ เค้าได้โชว์เล่นเคนดามะให้ดิบดูด้วยค่ะ หลังจากที่ได้ชมการเล่นเคนดามะแล้ว ดิบก็ขอเข้าไปนั่งพัก พร้อมดื่มกาแฟสักแก้วให้ชื่นใจหน่อย
ใครอยากลองไปดูเคนดามะลายสวยๆ ที่เจ้าของร้านบอกว่า “ไม่ได้โชว์อย่างเดียวนะ ขายด้วยครับ” ก็แวะไปชมกันได้ที่
Instagram https://www.instagram.com/muumuucoffee/ Map https://goo.gl/maps/qCLySdxEU2dv39teA
TOKYO SKYTREE
คิดถึงสุมิดะ สิ่งที่ต้องคิดถึงเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ โตเกียวสกายทรี Tokyo Skytree ตึกที่มีความสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความสูงถึง 634 เมตร หน้าที่หลักๆ ของโตเกียว สกายทรีนั้นก็คือ เป็นหอกระจายสัญญาณโทรทัศน์และวิทยุ นอกจากหน้าที่หลักแล้ว เราก็สามารถขึ้นไปชมวิวของโตเกียวจากด้านบน Tokyo Skytree ได้ด้วย ซึ่งส่วนของการขึ้นชมนั้นจะมี 2 ส่วนคือส่วนความสูงที่ 350 เมตร กับส่วนบนสุดที่ขึ้นไปชมได้คือ 450 เมตรค่ะ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนั้นจะต้องซื้อตั๋วขึ้นไปชมแยกกันต่างหาก
บางคนอาจจะคิดว่า “ไปโตเกียว สกายทรี แค่ขึ้นไปชมวิวโตเกียวเท่านั้นเหรอ?”
ดิบจะบอกว่า ไม่ได้มีดีแค่วิวที่สวยนะคะ แต่ตัวอาคารด้านในนั้นยังเป็นห้างที่มีทั้งร้านขายของ ร้านอาหาร เรียกได้ว่าถ้ามาที่นี่นอกจากจะได้ชมวิวแล้ว ยังได้ช๊อปปิ้งของกิน ของฝากไปด้วยในคราวเดียวเลยค่ะ
นอกจากนี้ที่นี่ก็มักจะมีอีเว้นต่างๆ อยู่เรื่อยๆ นะคะ อย่างเช่นตอนช่วงที่ดิบไปเนี่ยเค้าก็มีอีเว้น “เที่ยวกับโอชิ” โอชิ ในที่นี้หมายถึงไอดอล หรือดาราคนที่เราชื่นชอบค่ะ ที่ญป.มักจะมีการทำตุ๊กตาตัวเล็กๆ ที่เป็นไอดอลนั้นๆ ออกมาขาย ดังนั้นคนที่เป็นแฟนคลับก็มักจะพาตุ๊กตาโอชิ หรือไอดอลที่เราชื่นชอบไปด้วย แล้วก็ถ่ายรูปลงในโซเชียลต่างๆ ซึ่งตอนนี้เป็นที่นิยมมากๆ ที่ญี่ปุ่นเลยค่ะ
ส่วนตัวของดิบเองนะคะ โอชิของดิบก็คือ ลีไว เฮย์โจว ค่ะ เป็นตัวละครจากอะนิเมะเรื่อง ไททัน วันนี้ดิบก็เลยพาท่านลีไว มาชมวิวของโตเกียวกันสักหน่อยค่ะ ด้านบนเค้าจะจัดที่เอาไว้ให้ถ่ายรูปมากมายค่ะ รวมไปถึงจุดที่ให้เอาตุ๊กตาไปวางเพื่อถ่ายรูปก็มีนะคะ ถูกใจสายติ่ง ทุกด้อมแน่นอนค่ะ
นอกจากนั้นก็ยังมีมุมให้เดินเล่นถ่ายรูปจากรอบๆ อีกมากมาย มีส่วนตรงนี้ที่เป็นกระจกสามารถมองลงไปด้านล่างได้ด้วยค่ะ ใครที่กลัวความสูงอาจจะไม่ถูกใจจุดนี้เท่าไร แต่ก็ยังมีส่วนอื่นๆ เช่นร้านอาหาร หรือคาเฟ่ ของที่ระลึกก็มีให้เลือกซื้อเช่นกันค่ะ
อีกจุดนึงที่ดิบอยากแนะนำนะคะ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักจะแวะมาถ่ายรูปกัน เพราะเห็น Tokyo Skytree สะท้อนกับน้ำ ทำให้เห็นเหมือนมี Tokyo Skytree 2 อัน เป็นเงาสะท้อนสวยมากค่ะ จุดตรงนี้เรียกว่า “Jukken bridge” (สะพานจุกเคน) คนรักการถ่ายภาพไม่ควรพลาดนะคะ ดิบแปะโลเคชั่นไว้ให้นะ กดแล้วก็ให้ google map พาไปเลยค่ะ
Website https://www.tokyo-skytree.jp/
Map https://goo.gl/maps/jo9hfVzsCNtFb4Xt9
เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับ 1 วันกับเมืองสุมิดะ ได้ทั้งเที่ยว ได้ทั้งวัฒนธรรม ได้อิ่มท้องกับอาหารท้องถิ่น และชมวิวสวยๆ ของเมืองโตเกียวอีกด้วย หวังว่าทุกคนจะชอบรีวิวนี้ของดิบนะคะ
ใครที่ดูโพสนี้แล้วไปเที่ยวตามรอยดิบมา ก็อย่าลืมเซฟโพสนี้ไว้ แล้วคอมเม้นท์เล่าให้ฟังหน่อยนะคะ ว่าไปมาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
#sumida #tokyo #sumidacommunityambassdors #墨田区 #すみだ #墨田区公式外国人アンバサダー #わたしのすみだ自慢
#これもすみだのシティプロモーション